วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องประวัติกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
1. ประวัติกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
           1.1 ประวัติกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
จังหวัดอุดรธานีมีตราประจำจังหวัดเป็นรูป ท้าวเวสสุวัณ (ท้าวกุเวร) ซึ่งเป็นท้าวสาวจาตุมหาราช หรือหัวหน้าเทพยดาผู้ปกปักรักษาโลกด้านทิศอุดร หรือทิศเหนือ และมี ต้นทองกาว" หรือเรียกตาม ภาษาถิ่นว่า "ต้นจาน" เป็นต้นไม้ประจำจังหวัด ในด้านข้อมูลประวัติการก่อตั้งเมือง มีปรากฎขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์


ครั้งหนึ่งของสยามเลยทีเดียวในครั้งนั้นต้องเผชิญกับภัยคุกคามการล่าอาณานิคม ของสองประเทศมหาอำนาจ คือฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งมีนโยบายล่าดินแดนแถบเอเชีย เป็นอาณานิคม ฝรั่งเศสนั้นผนวกเอาดินแดนประเทศเวียดนามและเขมร เป็นของตนส่วนอังกฤษ ก็ยึดเอาประเทศด้วยพระปรีชาญาณ รวมทั้งได้ทรงวางระเบียบแบบแผน ในการปกครองหัวเมืองชายแดนเพื่อเผชิญกับปัญหาจึงทรงแต่งตั้งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปปฏิบัติราชการประจำต่างหัวเมือง และหัวเมืองหน้าดานซึ่งถูกล่วงล้ำอธิปไตยได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน


                ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงใหญ่ (ซึ่งต่อมาภายหลัง ทรงสถาปนา พระยศเลื่อนเป็น กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) พร้อมด้วยข้าราชการทหารตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคาย เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวพวน รับผิดชอบเมืองใหญ่ ๑๓ เมือง เมืองขึ้น ๓๖ เมือง ซึ่งประกอบด้วย บางเมือง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงด้วย ในขณะนั้น ฝรั่งเศสต้องการจะแบ่งดินแดนที่เคยเป็นของเวียดนาม ก็ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย ทั้งได้ส่งเรือรบเข้าปิดล้อมอ่าวไทย


ภาพที่ 1 พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม
บีบบังคับให้สยามลงนามในสนธิสัญญายอมรับสิทธิของฝรั่งเศสเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและให้ถอยกองกำลังทหารห่างจากชายแดนในรัศมี ๒๕ กิโลเมตร ภายในระยะเวลา ๑ เดือนด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าน้องยาเธอ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวน จึงต้องย้ายที่บัญชาการมณฑลลาวพวนที่ตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคาย พระองค์ได้ทรงเคลื่อนกองกำลังทหารและข้าราชบริพารลงมาทางใต้จนถึง"บ้านเดื่อหมากแข้ง" ในวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๖ ที่นี่มีชัยภูมิเหมาะสมอุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งน้ำ จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างแปงเมือง ณ ที่นี้ และได้ทำหนังสือกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบ ซึ่งพระองค์ ทรงเห็นชอบที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนแห่งใหม่นี้ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงวางแผนสร้างบ้านแปลงเมือง อย่างจริงจัง ทรงวางผังเมืองและบัญชาการการก่อสร้างเมืองด้วยพระองค์เองได้ทรงสร้างศาลาว่าการเมือง ค่ายทหารและสถานที่ราชการต่างส่วนวังที่ประทับได้ทรงสร้างใกล้กับต้นโพธิ์ใหญ่และทรงสร้างวัดขึ้นตรงข้าม กับบริเวณวังที่ประทับ ซึ่งมีโบราณสถานเก่าแก่อยู่เดิมแล้ว เพื่อเป็นพระอารามหลวงคู่บ้านคู่เมือง ทรงประทาน นามวัดแห่งนี้ว่า "วัดมัชฌิมาวาส" เพื่อเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง นับแต่นั้น บ้านหมากแข้ง จึงมีฐานะเป็นกองบัฐชาการซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการตามลำดับดังนี้


เมื่อพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้ทรงจัดราชการบ้านเมือง มณฑลลาวพวน และวางระเบียบการปกครองหัวเมืองชายแดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ ไปดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ พร้อมกับ ทรงเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม" โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวนองค์ต่อมา (พ.ศ.๒๔๔๒ - พ.ศ.๒๔๔๙)ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน 

เป็นมณฑลฝ่ายเหนือ มีเมืองต่าง ๆ ในปกครอง รวม ๑๒ เมือง ปี พ.ศ.๒๔๔๓ เปลี่ยนชื่อมณฑลฝ่ายเหนือเป็นมณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น ๕ บริเวณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณพาชี บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร และบริเวณน้ำเหือง ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมือง กมุทธาไสย เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาร อำเภอบ้านหมากแข้ง ตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า "เมืองอุดรธานี" และเป็นที่ตั้งที่ว่าการมณฑลอุดรอีกด้วย วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร พร้อมกับกรมการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนจัดพิธีตั้งเมืองขึ้น ณ สนามกลางเมือง มีการอ่านประกาศตั้งเมืองที่ปะรำพิธีและงานเฉลิมฉลอง รวม ๓ วัน ปี พ.ศ.๒๔๖๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รวมมณฑลอุดร  มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด เป็นภาค เรียกว่า ภาคอีสาน ตั้งที่บัญชาการที่เมืองอุดรธานี และโปรดให้ยุบเลิก ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย ในครั้งนี้ ได้ยกเลิกมณฑลต่าง ๆ มณฑลอุดรจึงถูกยกเลิกคงฐานะเป็นจังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งปัจจุบันนี้ อนึ่ง ในวันที่ ๑๘ มกราคมของทุกปี จังหวัดอุดรธานีได้กำหนดจัดงานวันที่ระลึก คล้ายวันจัดตั้งเมืองอุดรธานี" โดยถือเป็นวันร่วมกันบำเพ็ญกุศลและเฉลิมพระเกียรติพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ทรงสร้างเมืองอุดมธานี อีกด้วยกว่าจะเป็น....อุดรธานีในปัจจุบัน


                จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า บริเวณพื้นที่ ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 5,000-7,000 ปี จากหลักฐานการค้นพบที่บ้านเชียงอำเภอหนองหานและภาพเขียนสีบนผนังถำที่อำเภอ บ้านผือ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์ และโบราณคดีระหว่างประเทศว่าชุมชนที่เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติ ศาสตร์ที่จังหวัดอุดรธานี มีอารยธรรมความเจริญในระดับสูง และอาจถ่ายทอดความเจริญนี้ไปสู่ประเทศจีนก็อาจเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้นสันนิฐานว่า อาจเป็นเครื่องปั้นดินเผาสีลายที่เก่าที่สุดของโลก


หลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว พื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานี ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีกจนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย นังตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พ.ศ.1200-1600) สมัยลพบุลี (พ.ศ.1200-1800) และสมัยสุโขทัย (พ.ศ.1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือใบเสมาสมัยทวาราวดีลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระ พุทธบาทบัวบกอำเภอบ้านผือ แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฎหลักฐานชื่อ จังหวัดอุดรธานีปรากฎในประวัติศาสตร์แต่อย่างใดต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพื้นที่ที่จังหวัดอุดรธานีปรากฎใน ประวัติศาสตร์ เมื่อราวปีจอ พ.ศ.2117 พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยให้ไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยมาถึงเมืองหนองบัวลำภูซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมือง 


เวียงจันทน์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประชวรด้วยไข้ทรพิษจึงยกทัพกลับไม่ต้องรบ พุ่งกับเวียงจันทน์และเมืองหนองบัวลำภูนี้เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มี ความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจในสมัยกรุงรัตนโกสินเป็นราชธานีนั้น จังหวัดอุดรธานีได้เกี่ยวข้องกับการศึกสงครามกล่าวคือในระหว่าง พ.ศ.2369- 2371 ได้เกิดกบฎเจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมา ซึ่งมีผู้นำคือคุณหญิงโม(ท้าวสุรนารี) กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมืองหนองบัวลำภู และได้ต่อสู้กับกองทัพไทยและชาวเมืองหนองบัวลำภูจนทัพเจ้าอนุวงส์แตกพ่ายไป กระทั่งในปลายสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่4 ประมาณ พ.ศ.2411 


ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลลาวพวน เนื่องมาจากพวกฮ่อซึ่งกองทัพไทยได้ยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบได้ชั่วคราวในปี พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกฮ่อได้รวมตัวก่อการร้าย กำเริบเสิบสานขึ้นอีกในมณฑลลาวพวนฝั่วซ้ายแมน้ำโขงและมีท่าทีจะรุนแรง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ และเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือไปทำการปราบปรามพวกฮ่อ ในเวลานั้นเมืองอุดรธานียังไม่ปรากฎชื่อเพียงแต่ปรากฎชื่อบ้านหมากแข้งหรือ บ้านเดื่อหมากแข้ง สังกัดเมืองหนองคายขึ้นการปกครองกับมณทลลาวพวน และกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้ง ไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบภายหลังการปราบปรามฮ่อสงบแล้วไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสต้องการลาว เขมร ญวณ เป็นอาณานิคม เรียกว่า "กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)" ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประเทศไว้ จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส และตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ มีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปราการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตร ของฝั่งแม่น้ำโขง


ดังนั้น หน่วยทหารไทยที่ตั้งประอยู่ที่เมืองหนองคาย อันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมือง หรือมณฑลลาวพวน ซึ่งมีกรมหมื่นประจักษ์สิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการ จำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อบ้านเดื่อหมาก แข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งจังหวัดอะดรธานีปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสม เพราะมีแหล่งน้ำดี เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจัก์ ปัจจุบัน) และหนองน้ำพกหลายแห่ง ราวทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยน้ำใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวน และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จึงพอเห็นได้ว่าเมืองอุดรธานีได้อุบัติขึ้นโดยบังเอิญ เพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งกว่าเหตุทางการค้า การคมนาคมหรือเหตุผลอื่น ดังเช่นหัวเมืองสำคัญต่างๆ ในอดีต อย่างไรก็ตาม ว่า "อุดร" มาปรากฎชื่อเมือง พ.ศ.2450 (พิธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 พ.ศ. 2450 โดยพระยาศรีสุริยราช วรานุวัตร "โพธิ์ เนติโพธิ์") พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านหมากแข้งอยู่ ในการปกครองของมณฑลอุดรหลังการเปลื่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วได้มีการปรับปรุงระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาคยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำเภอเท่านั้นมณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัด "อุดรธานี" เท่านั้น
พระประวัติ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอองค์ที่ 25 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ธิดานายศัลยวิชัย ( ทองคำ ณ ราชสีมา ) ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันเสาร์ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช 1218 ตรงกับวันที่ 5 เมษายน 2399 เมื่อสมโภชเดือนแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ เพราะเมื่อประสูติมีผู้นำทองคำก้อนใหญ่ ซึ่งขุดได้ที่ตำบลบางสะพานในเวลานั้นได้เข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงถือว่าเป็นศุภนิมิตมงคลสำหรับพระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้ เมื่อพระราชทานพระนามได้ทรงพระราชนิพนธ์คาถาพระราชทานพระพร ซึ่งมีคำเเปลดังนี้
กุมารดีนี้ จงมีชื่อว่า ทองกองก้อนใหญ่ อย่างนี้เทียว โดยเนื้อความเพราะได้ทองแท่งใหญ่ จงไม่มีโรค เป็นสุข มีอายุยืน อันใครๆ ให้กำเริบไม่ได้ จงมีลาภมียศ รักษาเกียรติยศของบิดาไว้ในกาลทุกเมื่อ จงอาจเพื่ออภิบาลกิจของบิดาด้วยความสามารถทั้งปวง จนตลอดชีพ จงได้ทรัพย์สมบัติ สำหรับตระกูลพระเจ้าลูกเธอในเจ้าจอมมารดาเดียวกันกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมนี้ มีอีก 3 พระองค์คือ
1. พระองค์เจ้าชายทองแถมถวัลยวงศ์ (ภายหลังได้รับสถาปนาเป็นกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2462 ต้นสกุล ทองแถม )
2. พระองค์เจ้าชายเจริญรุ่งราษี
3. พระองค์เจ้าหญิงกาญจนากร
             1.2 การศึกษา
การศึกษาพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมทรงเริ่มการศึกษาวิชาอักขระสมัย วิชาอักษรไทย และบาลี กับพระองค์เจ้ากฤษณาหม่อมเจ้าหญิงจอ และพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) และทรงศึกษาภาษาต่างประเทศกับ นางเลียวโนเว็น และ นายแป็ตเตอสัน จนเชี่ยวชาญสามารถตรัส และเขียนภาษาอังกฤษได้ดี


พุทธศักราช 2411ทรงผนวชเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามและเสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พุทธศักราช 2418 ทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และประทับที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม และ

ได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับสมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงผนวชอยู่ 1 พรรษา ส่วนการศึกษาวิชาสามัญ พระองค์ทรงศึกษาวิชากฎหมายจากขุนหลวงไกรศรี (หนู) แล้วเข้ารับราชการเป็นนักเรียนศาลฎีกาในสมัยพระบรมวงศ์เธอกรมเทเวศน์วัชรินทร์ เป็นอธิบดีศาลฎีกา

ภาพกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


ภาพรำบวงสรวง


ภาพพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


ภาพการศึกษา 


าพวิธีรำบวงสรวง


าพวิธีรำบวงสรวง


าพวิธีรำบวงสรวง


าพวิธีรำบวงสรวง
              1.3 พระราชกรณียกิจ
พระราชกรณียกิจ นับได้ว่าทรงเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้เกิดเเก่ชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทรงเป็นกำลังสำคัญพระองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการรักษาดินแดน
พระราชอาณาเขตของไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในสมัยที่ประเทศมหาอำนาจในยุโรปกำลังแสวงหาเมืองขึ้นในดินแดนติดต่อกับประเทศไทย 



เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ได้ปราบปรามก่อความไม่สงบของพวกฮ่อในมณฑลลาวพวนจนสงบราบคราบ นอกจากนั้นเมื่อทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือนั้น ได้ทรงจัดราชการทั้งปวงทั้งส่วนปราบปรามข้าศึกศัตรู และการปกครองรักษาพระราชอาณาเขตด้วยพระปรีชาสามารถ และอุตสาหะวิริยะอันแรงกล้าให้ราชการทั้งปวงสำเร็จเป็นคุณประโยชน์แก่ราชการแผ่นดิน และให้ราษฎรได้รับความสุขปราศจากภัยอันตรายโดยทั่วกัน 

โดยได้ทรงอดทนต่อความตรากตรำลำบากมิได้ท้อถอยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งจังหวัดอุดรธานี จากที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้ง ในพุทธศักราช 2436 ได้ทรงริเริ่มสร้างบ้านหมากแข้งให้เกิดความเจริญจากหมู่บ้านชนบทจนเป็นเมืองอุดร และต่อมาได้ยกฐานะเป็นจังหวัด นับเป็นการก่อสร้างรากฐานความเจริญวัฒนาถาวรให้เกิดแก่เมืองอุดรธานีจวบจนปัจจุบัน



พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ประชวรด้วยโรคอันตะ (ไส้ใหญ่ ) พิการ และสิ้นพระชมน์ ณ วังตรอกสาเก เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2467 เวลาหกนาฬิกา หลังเที่ยง สิริพระชันษาได้ 68 พรรษา 9 เดือน 20 วันถึงแม้ว่าถึงวันสิ้นพระชมน์ของพระองค์ จวบจนปัจจุบัน ( พ.ศ. 2546) จะเป็นเวลานานกว่า 79 ปีก็ตาม

 แต่พระเกียรติคุณพระกรุณาธิคุณได้ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะจังหวัดอุดรธานี สถิติอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทย ชาวจังหวัดอุดรธานี ตราบชั่วฟ้าดินสลาย



ภาพกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


ภาพกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม

ภาพกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
           1.4 นิยายเวียงวัง
นิยายเวียงวัง ในกระบวนคำถามที่ถามกันมาระยะนี้ ผู้อ่านและผู้อื่นถามถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม มากที่สุดพระประวัติในราชตระกูลและในราชการของ ฯกรมหลวงประจักษ์ฯ
พระนามเดิม คือ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ เหตุที่ได้พระนามดังนี้ เนื่องเพราะขณะประสูติมีผู้นำทองที่ขุดได้ขึ้นมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระบรมราชชนกเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ 



เจ้าจอมมารดาของ ฯกรมหลวงฯ ประจักษ์ เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยากำแหงสงคราม (ทองอิน) ผู้ซึ่งทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ท่านเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเจ้าจอมยวน ประวัติของท่านก็ทำนองเดียวกันกับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) คือพระราชทานเจ้าจอมยวนแก่เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) ขณะที่เจ้าจอมยวนกำลังตั้งครรภ์ เจ้าจอมยวน เป็นธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู หรือหลวงสิทธินายเวรสมัยปลายอยุธยา) เกิดแต่อนุภรรยา มิใช่ธิดาของชายาหรือท่านผู้หญิง เห็นจะเข้ามาถวายตัวพร้อมกันกับเจ้าจอมมารดาฉิม (กรมหลวงบริจาภักดีศรีสุดารักษ์กรุงธนบุรี) และเจ้าจอมปราง สองธิดาของท่านผู้หญิงเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระราชทานเจ้าจอมยวนแก่เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น)และพระราชทานเจ้าจอมปรางแก่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) จึงมีผู้สันนิษฐานว่า เห็นจะมีพระราชประสงค์ให้เชื้อสายของพระองค์ได้เป็นผู้รักษาขอบขัณฑสีมาทางใต้ และทางอีสานในเวลาต่อไปข้างหน้า


เจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ถวายตัวได้เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มีพระองค์เจ้า ๔ พระองค์คือ
1.  พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
2.  พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ)
3.  พระองค์เจ้าเจริญรุ่งราษี สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา ๕ ขวบ
4.  พระองค์เจ้ากาญจนากร
1.1  พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมพระราชโอรสในรัชกาลที่๔
1.2  พระองค์เจ้าจรูญโรจน์เรืองศรี กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณพระราชโอรสในพระบาทสม
เด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
1.3  พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ กล่าวกันว่าทั้ง ๔ พระองค์นั้น สามพระองค์ต่างมีคำว่า ทอง’ ในพระนาม ต่างมีพระชันษายืนยาว เว้นแต่พระองค์เจ้าเจริญรุ่งราษีเท่านั้นที่พระชันษาสั้น เพราะพระนามเป็นอย่างอื่นไม่ใช่ ทอง
เมื่อ ฯกรมหลวงประจักษ์ฯ ยังทรงพระเยาว์อยู่ เล่ากันว่าทรงซุกซน และมีพระนิสัยรับสั่งตรงไปตรงมาแฝงด้วยพระอารมณ์ขัน บางครั้งก็ทรงกระทำสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นว่าพิลึกหรืออุตริ เช่นทรงเที่ยวแอบจุดโคมตามถนนในพระราชฐานก่อนถึงเวลาพนักงานจะมาจุด ดังคำกลอนสังเกตพระอัชฌาสัยเจ้านายเมื่อยังทรงพระเยาว์ กล่าวถึง ฯกรมหลวงประจักษ์ฯ ว่า “เที่ยวลอบจุดโคม ท่านทอง” เวลานั้นพระชันษาของท่าน ๑๒ ปี บรรดาเจ้านายพี่น้องเรียกท่านว่า ท่านทอง’ และก่อนทรงกรม พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสเรียกว่า ทองใหญ่
หน้าที่ราชการของพระองค์ท่าน ตั้งแต่เริ่มรับราชการสนองพระเดชพระคุณในรัชกาลที่ ๕ คือ
             1.  เป็นผู้ช่วยราชการกรมวัง ซึ่งเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรงกำกับราชการกรมวังอยู่
2.  เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ด้านมณฑลอุดร (จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ขณะนั้นเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนารถ เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือ) ยกทัพไปปราบฮ่อ
3.  เมื่อเสด็จกลับจากราชการปราบฮ่อฝ่ายใต้ หลัง พ.ศ.๒๔๒๘ โปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมวังตั้งแต่สมัยที่ทรงเป็นผู้ช่วยราชการกรมวัง จนกระทั่งเป็นเสนาบดีกรมวัง ฯกรมหลวงประจักษ์ฯ ทรงใกล้ชิดกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ มาก เป็นที่โปรดปรานในสมเด็จพระบรมฯ ซึ่งเวลานั้นพระชนมายุ เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๖ เพิ่งจะ ๕ พรรษา เรื่อยมา



บรรดาพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ นั้น ส่วนมากสมเด็จพระบรมฯ ตรัสเรียกว่า เสด็จอา’ โดยทรงนับญาติทางสมเด็จพระบรมชนกนาถ มีเพียงไม่กี่พระองค์ที่ทรงเรียกว่า เสด็จลุง’ โดยทรงนับญาติทางสมเด็จพระบรมราชชนนี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) แต่ที่เป็น ลุงแท้ๆ’ ของท่านนั้นมีพระองค์เดียว คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ (พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์) ทว่าสำหรับ ฯกรมหลวงประจักษ์ฯ ซึ่งเวลานั้นทรงกรมเป็นกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ตรัสเรียกอย่างสนิทสนมว่า ลุงจักษ์’ ซึ่ง ลุงจักษ์’ ก็รักท่านเป็นอย่างยิ่ง มีรับสั่งเสมอว่าทรงรักพระราชโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทุกพระองค์เพราะเป็นลูกของเจ้าข้าวแดงแกงร้อน แต่ที่ทรงรักมากก็คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ เมื่อสมเด็จพระบรมฯ พระองค์นั้นสวรรคต ฯกรมหลวงประจักษ์ฯ ถึงทรงพระกันแสง ในจดหมายเหตุรายวัน พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ ตั้งแต่พระชนมายุ ๕  ลุงจักษ์ให้เราไปจุดเทียน
 “ลุงจักษ์ให้เราสี่เฟื้องพรรษา ทรงบันทึกถึง ลุงจักษ์’ ไว้หลายต่อหลายแห่ง
 “ลุงจักษ์ให้มาเรียกเราไปจุดเทียนสวนมนต์ก่อฤกษ์พระเจดีย์ที่วัดราชบพิธ เราเรียกหมวกกับเกือกถุงตีนใส่แล้ว ทูลลาทูลหม่อมบน ลุงจักษ์อุ้มเราขึ้นรถเหลือง ฯลฯ ฯลฯ
4.  เป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือคนแรก เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๔ราชการครั้งนี้สำคัญเป็นอันมาก เพราะเป็นเวลาที่กำลังมีเรื่องราวกับฝรั่งเศส จึงโปรดฯให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เสด็จไปเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ ทรงจัดการวางระเบียบราชการปกครองบ้านเมือง (พระยอดเมืองขวาง วีรบุรุษที่รู้จักกันดีในสมัย ร.ศ.๑๑๒-พ.ศ.๒๔๓๖ นั้น อยู่ใต้บังคับบัญชากรมหมื่นประจักษ์ฯ) ต้องอาศัยพระปรีชาสามารถอย่างมากในการแก้ไขปัญหาชายแดนติดกับลาวที่ฝรั่งเศสกำลังยึดครองอยู่ ชั้นแรกทรงตั้งค่ายบัญชาการอยู่ที่หนองคาย แล้วจึงย้ายไปตั้งอยู่ที่บ้านเดื่อหมากแข้ง (หมากแข้ง-มะเขือพวง) จากนั้นก็ได้ประกาศยกบ้านเดื่อหมากแข้งเป็นเมืองอุดรธานี เมื่อ ร.ศ.๑๑๒ นั้นเอง ทรงนำความเจริญรุ่งเรืองให้เมืองอุดรธานีเป็นอันมาก ชาวเมืองอุดรธานีจึงนับถือว่า ว่าพระองค์เป็นผู้สร้างเมืองอุดรธานี ได้จัดสร้างพระอนุสาวรีย์เป็นพระรูปทรงยืน พระนามของท่านได้เป็นชื่อ ค่ายทหาร ประจักษ์ศิลปาคม’ ชื่อ ถนนประจักษ์’ ชื่อหนองน้ำใหญ่กลางเมือง หนองประจักษ์’ เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระเกียรติคุณ

เมื่อโปรดเกล้าฯให้เสด็จไปเป็นข้าหลวงต่างพระองค์มณฑล-ลาวพวนหรืออุดรนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ฯ ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ว่าราชการครั้งนี้ นับว่าเป็นการสำคัญกว่าแต่ก่อน เพราะต้องรับผิดชอบมากและโดยเหตุที่ เมื่อครั้งเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อเกิดไปมีเรื่องราวขัดกันขึ้นกับแม่ทัพฝ่ายเหนือ จึงได้กราบบังคมทูลในตอนหนึ่งว่า ขึ้นไปครั้งนี้ตั้งใจจะฉลองพระเดชพระคุณให้เต็มสติปัญญาและความคิด ชีวิตร่างกายก็ไม่เสียดายอันหนึ่งอันใดเลย แต่ขอรับพระราชทานความคล่องใจซึ่งเป็นรากเง่าของการที่จะให้สำเร็จไปได้ อย่าให้มีผู้หนึ่งผู้ใดมาอินตเฟีย (interfere = แทรกแซง -จุลลดาฯ)อนึ่งในการที่ข้าพระพุทธเจ้าจะฉลองพระเดชพระคุณในครั้งนี้ 


เมื่อราชการที่ข้าพระพุทธเจ้าแบ่งหน้าที่ไปครั้งนี้เสียลงด้วยประการหนึ่งประการใด ก็สุดแล้วแต่พระราชอาญามีรับราชบาทประหารชีวิตเป็นที่สุด ถ้าได้ราชการขอรับพระราชทานพอเสมอตัวเท่านั้น ไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอันใดก็จะเห็นได้ว่า อันพระเจ้าน้องยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงแต่ละพระองค์นั้น ทรงรับราชการเป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็นอเนกประการแทบทุกพระองค์ ทรงช่วยบรรเทาพระราชการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ดังมีพระประวัติทางราชการปรากฏอยู่ มิใช่เป็นเพียง คนโปรด’ เท่านั้น หากในปลายพระชนมชีพทรงพระชรา ทั้งทรงงานมามากก็อาจผิดพลั้งในส่วนพระองค์ไปบ้างตามวิสัยปุถุชน ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นการรุนแรงจนลงพระเกียรติคุณที่ทรงบากบั่นสร้างมา
              1.5 อนุเสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์
อนุเสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ ตั้งอยู่กลางเมืองอุดรธานี  พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม  เป็นพระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาสังวาล  ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2399  ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  



สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ (เรียกว่า มณฑลอุดร” ในสมัยต่อมา)  ระหว่าง ร.ศ.112-118  ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรขึ้นเมื่อ  ร.ศ.112 (พ.ศ.2436)  ทรงจัดวางระเบียบราชการปกครองบ้านเมือง  และรับราชการในหน้าที่สำคัญๆ ที่อำนวยประโยชน์แก่ราษฎร  อนุสาวรีย์พระองค์ท่านนับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของชาวจังหวัดอุดรธานี  จะมีพิธีบวงสรวงในวันที่  18  มกราคม  ของทุกปี


ภาพที่ 3 อนุเสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์
พระอนุสาวรีย์พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดร ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2436 หรือ ร.ศ.112 เป็นพระอนุสาวรีย์รูปปั้นทองบรอนซ์ในพระอิริยาบถทรงประทับยืนอยู่บนแท่นหินแกรนิตสีเทาดำ ที่มีความสูงเฉพาะพระแท่นประทับประมาณ 3.50 เมตร ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเต็มพระยศ พระหัตถ์ขวาทรงถือพระแสงกระบี่พระอนุสาวรีย์ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม นับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของชาวจังหวัดอุดรธานี 

ซึ่งชาวจังหวัดอุดรธานี ให้ความเคารพนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่ง ชาวอุดรธานีที่จะเดินทางไปต่างบ้าน ต่างเมือง หรือกลับมาถึงเมืองอุดรธานี จะยกมือไหว้เพื่อเป็นการบอกกล่าว รวมถึงประชาชนที่เดินทางผ่านไปผ่านมาด้วยสำหรับการกราบไหว้เพื่อการขอพรนั้น 



ผู้สันทัดกรณีบอกว่าเป็นเคล็ดลับ เช่นหากว่าขอพรในการสอบแข่งขัน การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งก้าวหน้า สอบราชการทหาร ตำรวจ รัฐวิสาหกิจต่างๆ ท่านบอกว่าให้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานต่อพระองค์ท่าน ด้วยการวิ่งรอบพระอนุสาวรีย์ และถวายม้าและดาบ เป็นของแก้บน ส่วนผู้ที่ไม่ได้บนบาน 



การกราบไหว้พระอนุสาวรีย์กรมหลวงฯ ทำให้เกิดมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ปราศจากอุปสรรคต่างๆ ในการทำงาน ประสบผลสำเร็จในการเรียนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุเสาวรีย์นี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ษ. 2514 โดยกรมศิลปากรออกแบบ และปั้นหล่อ
              1.6 พิธีบวงสรวงกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
วันที่ 18 ม.ค.2557 ที่บริเวณพระอนุสาวรีย์ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ในเขตเทศบาลนครอุดรนธานี  ฯพณฯ นายพลากร  สุวรรณรัตน์  องคมนตรี ได้มาเป็นประธาน ทำพิธีบวงสรวงและถวายราชสักการะ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อตั้งเมืองอุดรธานี ครบรอบ 122 ปี  



พร้อมด้วยราชนิกูลทองใหญ่” หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการในพื้นที่ทุกหน่วยรวมถึงนักธุรกิจ พ่อค้า คหบดี เข้าร่วมในพิธี เป็นจำนวนมากซึ่งในพิธีวันที่ระลึกในการตั้งเมืองอุดรธานี ปีที่ 122 ในปี 2558 นี้ ฯพณฯนายพลากร สุวรรณรัตน์  องคมนตรี  ได้ทำการเชิญพานพุ่มดอกไม้สดขึ้นถวาย จุดธูปเทียน และ อ่านประกาศสดุดีเฉลิมพระเกียรติ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม  ซึ่งประวัติความเป็นมาของ จ.อุดรธานี ในปี 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้และเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือ 



ไปปราบปรามพวกฮ่อที่กำเริบเสิบสานขึ้นอีกในมณฑลลาวพวนและฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง โดยเดินทัพผ่านบ้านหมากแข้ง ในเวลานั้นเมืองอุดรธานียังไม่ปรากฏชื่อ เพียงแต่ปรากฏชื่อ บ้านหมากแข้ง” หรือ บ้านเดื่อหมากแข้ง” สังกัดเมืองหนองคาย ขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวนภายหลังปราบฮ่อสงบแล้วไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสเนื่องจากฝรั่งเศลต้องการลาว เขมรและญวนเป็นอาณานิคม เรียกว่า กรณีพิพาท ร.ศ.112  (พ.ศ.2436 ) 



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประเทศไว้ ทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศสและตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง ประเทศ มีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปราการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขงทหารไทยที่ประจำอยู่เมืองหนองคายซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมือง หรือมณฑลลาวพวน กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการจึงต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง


ภาพที่ 4 พิธีบวงสรวงกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม

ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร เมื่อทรงเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะมีแหล่งน้ำ เช่น หนองนาเกลือ หรือหนองประจักษ์ ปัจจุบัน  และหนองน้ำอีกหลายแห่งรวมทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยน้ำใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวนและตั้งกองทหารขึ้นที่หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง ต่อมาเป็นที่ตั้งของ จ.อุดรธานีในปัจจุบัน และมีดอกทองกวาว หรือดอกจานเป็นสัญลักษณ์ของเมืองดังกล่าว



ภาพกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม





           1.7 พระโอรสและพระธิดา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงเป็นต้นราชสกุลทองใหญ่ มีหม่อม 9 ท่าน ได้แก่
1.  หม่อมสุวรรณ (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงปราณีประชาชน (แมลงทับ)
2.  หม่อมพริ้ง (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงปราณีประชาชน (แมลงทับ)
3.  หม่อมแจ่ม (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงพรหมศักดิ์ (ภู่)
4.  หม่อมจันทร์ (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงพรหมศักดิ์ (ภู่)
5.  หม่อมนวม (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงประจักษ์ศิลปาคม (เปลี่ยน)
6.  หม่อมเปลี่ยน
7.  หม่อมทองสุก หรือ ศุข (สกุลเดิม: สุริยวงศ์) ธิดาเจ้าคุณพระนครเขต
8.  หม่อมเติม (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงประจักษ์ศิลปาคม (เปลี่ยน)
9.  หม่อมแก้ว (สกุลเดิม: นาครทรรพ) ธิดาหลวงประจักษ์ศิลปาคม (เปลี่ยน)
โดยมีพระโอรสธิดารวมทั้งหมด 22 พระองค์ เป็นชาย 10 พระองค์ และหญิง 12 พระองค์


ภาพหม่อมสุวรรณ
ภาพหม่อมพริ้ง  


ภาพหม่อมแจ่ม


ภาพหม่อมจันทร์ 

ภาพหม่อมนวม

   ภาพหม่อมเปลี่ยน


ภาพหม่อมทองสุก


ภาพหม่อมเติม


ภาพหม่อมแก้ว
           1.8 ประวัติจังหวัดอุดรธานี
จังหวัดอุดรธานี เป็นจังหวัดใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นศูนย์ปฏิบัติการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางพื้นที่ลุ่มน้ำโขง เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นบ้านเดื่อหมากแข้งซึ่งมีมานานร่วมสมัยกับเมืองเวียงจันทน์ อาณาจักรล้านช้าง อุดรธานีได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองสำคัญของหัวเมืองฝ่ายเหนืออย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 4 ปี พ.ศ. 2436 โดยพลตรี พระเจ้าบรมวรวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เกิดจากการรวมกันของหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาน เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน และบ้านเดื่อหมากแข้ง อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 564 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 7,331,438.75 ไร่) อันดับที่ 4 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังมีแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศและของโลก มีสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ จังหวัดอุดรธานีเคยเป็นที่ตั้งของมณฑลอุดรในสมัยรัตนโกสินทร์ มีอาณาเขตปกครองกว้างใหญ่ที่สุดในประเทศ ปัจจุบันอุดรธานีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทั้งอากาศและทางถนนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์กลางหน่วยงานราชการและด้านเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้งมีศูนย์ประชุมและวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนด้วย

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า  บริเวณพื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน  เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 5,000-7,000 ปี จากหลักฐานการค้นพบที่บ้านเชียงอำเภอหนองหานและภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่อำเภอบ้านผือ   เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์ และโบราณคดีระหว่างประเทศว่าชุมชนที่เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่จังหวัดอุดรธานี  มีอารยธรรมความเจริญในระดับสูง  และอาจถ่ายทอดความเจริญนี้ไปสู่ประเทศจีนก็อาจเป็นได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้นสันนิษฐานว่าอาจเป็นเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลกหลังจากยุคความเจริญที่บ้านเชียงแล้ว  พื้นที่ที่เป็นจังหวัดอุดรธานี ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีกจนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย  นับตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พ.ศ.1200-1600)  สมัยลพบุรี (พ.ศ.1200-1800  และสมัยสุโขทัย(พ.ศ.1800 - 2000)  จากหลักฐานที่พบคือใบเสมาสมัยทวาราวดีลพบุรี    และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบกอำเภอบ้านผือ   แต่ทั้งนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานชื่อ 


จังหวัดอุดรธานีปรากฎในประวัติศาสตร์แต่อย่างใดต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพื้นที่ที่จังหวัดอุดรธานีปรากฎในประวัติศาสตร์   เมื่อราวปีจอ  พ.ศ. 2117 พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ทรงเกณฑ์ทัพไทยให้ไปช่วยตีกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์)  โดยให้สมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพไทยมาถึงเมืองหนองบัวลำภูซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองเวียงจันทน์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประชวรด้วยไข้ทรพิษจึงยกทัพกลับไม่ต้องรบพุ่งกับเวียงจันทน์และที่เมืองหนองบัวลำภูนี่เองสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีนั้น  จังหวัดอุดรธานีได้เกี่ยวข้องกับการศึกสงครามกล่าวคือในระหว่าง พ.ศ. 2369 - 2371 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมา  ซึ่งมีผู้นำคือ คุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี)    กองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้ถอยทัพมาตั้งรับที่เมืองหนองบัวลำภู และได้ต่อสู้กับกองทัพไทยและชาวเมืองหนองบัวลำภูจนทัพเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไป  กระทั่งในปลายสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2411 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลลาวพวน เนื่องมาจากพวกฮ่อซึ่งกองทัพไทยได้ยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบได้ชั่วคราวในปี พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกฮ่อได้รวมตัวก่อการร้าย กำเริบเสิบสานขึ้นอีกในมณฑลลาวพวนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและมีท่าทีจะรุนแรง



  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ และเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือไปทำการปราบปรามพวกฮ่อ ในเวลานั้นเมืองอุดรธานียังไม่ปรากฎชื่อเพียงแต่ปรากฎชื่อบ้านหมากแข้งหรือบ้านเดื่อหมากแข้ง สังกัดเมืองหนองคายขึ้นการปกครองกับมณฑลลาวพวน และกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ได้เดินทัพผ่านบ้านหมากแข้งไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบภายหลังการปราบปรามฮ่อสงบแล้วไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส  เนื่องจากฝรั่งเศลต้องการลาว   เขมร  ญวน  เป็นอาณานิคม เรียกว่า "กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)"  ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประเทศไว้ จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส และตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ  มีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปราการอยู่ในรัศมี  25  กิโลเมตร  ของฝั่งแม่น้ำโขง



ดังนั้น หน่วยทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคาย อันเป็นเมืองศูนย์กลางของหัวเมือง   หรือมณฑลลาวพวน ซึ่งมีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการ  จำต้องอพยพเคลื่อนย้ายลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อบ้านเดื่อหมากแข้ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งจังหวัดอุดรธานีปัจจุบัน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงกว่า 50 กิโลเมตร  เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีชัยภูมิเหมาะสม เพราะมีแหล่งน้ำดี  เช่น หนองนาเกลือ (หนองประจักษ์ ปัจจุบัน)  และหนองน้ำอีกหลายแห่ง รวมทั้งห้วยหมากแข้ง ซึ่งเป็นลำห้วยน้ำใสไหลเย็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงบัญชาให้ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวน และตั้งกองทหารขึ้น ณ หมู่บ้านเดื่อหมากแข้ง จึงพอเห็นได้ว่าเมืองอุดรธานีได้อุบัติขึ้นโดยบังเอิญ 


เพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ ยิ่งกว่าเหตุผลทางการค้า การคมนาคมหรือเหตุผลอื่น ดังเช่นหัวเมืองสำคัญต่างๆ ในอดีตอย่างไรก็ตามคำว่า "อุดร" มาปรากฏชื่อเมือง พ.ศ 2450 (พิธีตั้งเมืองอุดรธานี 1 เมษายน ร.ศ. 127 พ.ศ. 2450 โดยพระยาศรีสุริยราช วรานุวัตร โพธิ์ เนติโพธิ์”) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านหมากแข้งอยู่ในการปกครองของมณฑลอุดรหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วได้มีการปรับปรุงระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลในส่วนภูมิภาคยังคงเหลือเฉพาะจังหวัดและอำเภอเท่านั้นมณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไปเหลือเพียงจังหวัด "อุดรธานี"เท่านั้น
              1.9 ประวัติเมืองอุดรธานี
จังหวัดอุดรธานีมีตราประจำจังหวัดเป็นรูป ท้าวเวสสุวัณ (ท้าวกุเวร) ซึ่งเป็นท้าวสาวจาตุมหาราช หรือหัวหน้าเทพยดาผู้ปกปักรักษาโลกด้านทิศอุดร หรือทิศเหนือ และมี ต้นทองกาว" หรือเรียกตาม ภาษาถิ่นว่า "ต้นจาน" เป็นต้นไม้ประจำจังหวัด ในด้านข้อมูลประวัติการก่อตั้งเมือง มีปรากฎขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งของสยามเลยทีเดียวในครั้งนั้นต้องเผชิญกับภัยคุกคามการล่าอาณานิคม ของสองประเทศมหาอำนาจ คือฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งมีนโยบายล่าดินแดนแถบเอเชีย เป็นอาณานิคม ฝรั่งเศสนั้นผนวกเอาดินแดนประเทศเวียดนามและเขมร เป็นของตนส่วนอังกฤษ ก็ยึดเอาประเทศด้วยพระปรีชาญาณ รวมทั้งได้ทรงวางระเบียบแบบแผน ในการปกครองหัวเมืองชายแดนเพื่อเผชิญกับปัญหานี้จึงทรงแต่งตั้งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปปฏิบัติราชการประจำต่างหัวเมือง และหัวเมืองหน้าดานซึ่งถูกล่วงล้ำอธิปไตยได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน



ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงใหญ่ (ซึ่งต่อมาภายหลัง ทรงสถาปนา พระยศเลื่อนเป็น กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) พร้อมด้วยข้าราชการทหารตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคาย เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวพวน รับผิดชอบเมืองใหญ่ ๑๓ เมือง เมืองขึ้น ๓๖ เมือง ซึ่งประกอบด้วย บางเมือง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงด้วย ในขณะนั้น ฝรั่งเศสต้องการจะแบ่งดินแดนที่เคยเป็นของเวียดนาม ก็ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย ทั้งได้ส่งเรือรบเข้าปิดล้อมอ่าวไทย บีบบังคับให้สยามลงนามในสนธิสัญญายอมรับสิทธิของฝรั่งเศสเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและให้ถอยกองกำลังทหารห่างจากชายแดนในรัศมี ๒๕ กิโลเมตร ภายในระยะเวลา ๑ เดือนด้วยเหตุนี้เอง 



พระเจ้าน้องยาเธอ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวน จึงต้องย้ายที่บัญชาการมณฑลลาวพวนที่ตั้งอยู่ ณ เมืองหนองคาย พระองค์ได้ทรงเคลื่อนกองกำลังทหารและข้าราชบริพารลงมาทางใต้จนถึง"บ้านเดื่อหมากแข้ง" ในวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๖ ที่นี่มีชัยภูมิเหมาะสมอุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งน้ำ จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างแปงเมือง ณ ที่นี้ และได้ทำหนังสือกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบ ซึ่งพระองค์ ทรงเห็นชอบที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนแห่งใหม่นี้พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ทรงวางแผนสร้างบ้านแปลงเมือง อย่างจริงจัง ทรงวางผังเมืองและบัญชาการการก่อสร้างเมืองด้วยพระองค์เองได้ทรงสร้างศาลาว่าการเมือง ค่ายทหารและสถานที่ราชการต่างส่วนวังที่ประทับได้ทรงสร้างใกล้กับต้นโพธิ์ใหญ่และทรงสร้างวัดขึ้นตรงข้าม กับบริเวณวังที่ประทับ ซึ่งมีโบราณสถานเก่าแก่อยู่เดิมแล้ว เพื่อเป็นพระอารามหลวงคู่บ้านคู่เมือง ทรงประทาน นามวัดแห่งนี้ว่า "วัดมัชฌิมาวาส" เพื่อเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง 



นับแต่นั้น บ้านหมากแข้ง จึงมีฐานะเป็นกองบัฐชาการซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการตามลำดับ ดังนี้เมื่อพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ได้ทรงจัดราชการบ้านเมือง มณฑลลาวพวน และวางระเบียบการปกครองหัวเมืองชายแดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ ไปดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ พร้อมกับ ทรงเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม" โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวพวนองค์ต่อมา (พ.ศ.๒๔๔๒ - พ.ศ.๒๔๔๙)ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลฝ่ายเหนือ มีเมืองต่าง ๆ ในปกครอง รวม ๑๒ เมือง ปี พ.ศ.๒๔๔๓ เปลี่ยนชื่อมณฑลฝ่ายเหนือเป็นมณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น ๕ บริเวณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณพาชี บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร และบริเวณน้ำเหือง ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมือง กมุทธาไสย เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาร อำเภอบ้านหมากแข้ง ตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า "เมืองอุดรธานี" และเป็นที่ตั้งที่ว่าการมณฑลอุดรอีกด้วยวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร พร้อมกับกรมการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนจัดพิธีตั้งเมืองขึ้น ณ สนามกลางเมือง มีการอ่านประกาศตั้งเมืองที่ปะรำพิธีและงานเฉลิมฉลอง รวม ๓ วัน ปี พ.ศ.๒๔๖๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รวมมณฑลอุดรมณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด เป็นภาค เรียกว่า ภาคอีสาน ตั้งที่บัญชาการที่เมืองอุดรธานี และโปรดให้ยุบเลิก ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย ในครั้งนี้ ได้ยกเลิกมณฑลต่าง ๆ มณฑลอุดรจึงถูกยกเลิกคงฐานะเป็นจังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งปัจจุบันนี้ อนึ่ง ในวันที่ ๑๘ มกราคมของทุกปี จังหวัดอุดรธานีได้กำหนดจัดงานวันที่ระลึก คล้ายวันจัดตั้งเมืองอุดรธานี" โดยถือเป็นวันร่วมกันบำเพ็ญกุศลและเฉลิมพระเกียรติพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ทรงสร้างเมืองอุดมธานี อีกด้วย

ภาพที่ 5 กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
อาณาเขตติดต่อ
อุดรธานีมีอาณาเขตติดกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้
-  ทิศเหนือ จรดจังหวัดหนองคาย
-  ทิศตะวันออก จรดจังหวัดสกลนคร
-  ทิศใต้ จรดจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาฬสินธุ์
-  ทิศตะวันตก จรดจังหวัดเลยและจังหวัดหนองบัวลำภู
การเมืองการปกครอง
หน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น หน่วยการปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 156 ตำบล 1,880 หมู่บ้าน 101 ชุมชน 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 เทศบาลนคร 3 เทศบาลเมือง 44 เทศบาลตำบล 132 องค์การบริหารส่วนตำบล มีจำนวนประชากรรวม 1,557,298 คน จำนวนครัวเรือน 414,868 ครัวเรือน
หน่วยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 155 ตำบล 1,682 หมู่บ้าน อำเภอหมายเลข 12-16 ตาม
รหัสเขตการปกครองคืออำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน
รายพระนามข้าหลวงใหญ่ผู้สำเร็จราชการมณฑลอุดรและรายนามผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี
-  พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษศิลปาคม
-  พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนา
-  หลวงวิจิตรวิบูลย์การ ( อุ้ย นาครทรทรรพ )
-  พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (รอด สาริมาน )
-  หม่อมเจ้าโสตถิผล ชมภูนุช
-  พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (ช่วง สุวรรทรรภ )
-  พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิตตยะโศธร )
-  พระชาติตระการ ( ม.ร.ว. จิตร์ คเณจร )
-  พระยากำธรพายัพทิศ ( ดิษ อินทรโสฬส ณ ราชสีมา )
-  หลวงวิวิธสุรการ ( ถวิล เจียรมาณพ )
-  ขุนจรรยาวิเศษ ( เที่ยง บุนยมานิตย์ )
-  นายถวิล สุนทรศารทูล
-  นายปกรณ์ อังศุสิงห์
-  ขุนศุภกิจวิเลขการ ( กระจ่าง ศุภกิจวิเลขการ )
-  นายปลั่ง ทัศนประดิษฐ์
-  ขุนบริบาลบรรพตเขตต์ (สังเวียน บริบาลบรรพตเขตต์)
-  ขุนบริรักษ์บทวลัญช์ ( ชุ่ม ขุนบริรักษ์บทวลัญช์ )
-  นายจินต์ รักการดี
-  หลวงปริวรรตวรวิจิตร ( จันทร์ เจริญชัย ปริวรรตวร )
-  นายสุพัฒน์ วงษ์วัฒนะ
-  พล.ต.ต.สามารถ วายวานนท์
-  นายวิญญู อังคนารักษ์
-  นายเจริญ ปานทอง
-  นายเอนก สิทธิประศาสน์
-  นายวิเชียร เวชสวรรค์
-  นายพิศาล มูลศาสตรสาทร
-  นายสมภาพ ศรีวรขาน
-  นายสายสิทธิ พรแก้ว
-  นายจรวย ยิ่งสวัสดิ์
-  นายธวัช โพธิสุนทร
-  นายสุพร สุภสร
-  นายดำรง รัตนพานิช
-  นายวิชัย ทัศนเศรษฐ
-  นายเกียรติพันธ์ น้อยมณี
-  นายชัยพร รัตนนาคะ
-  นายจารึก ปริญญาพล
-  นายอำนาจ ผการัตน์
-  นายคมสัน เอกชัย
-  นายแก่นเพชร ช่วงรังสี
-  นายเสนีย์ จิตตะเกษม
-  นายนพวัชร สิงห์ศักดา

-  นายชยาวุธ จันทร (คนปัจจุบัน)
           1.10  สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานี
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานี


อนุเสาวรีย์พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
ตั้งอยู่กลางเมืองอุดรธานีพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นพระราชโอรสใพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดา สังวาลย์   ประสูติเมื่อปีพุทธศักราช 2399 ทรงดำรตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ เรียกว่า มณฑลอุดรในสมัยต่อมา ระหว่าง ร.ศ . 112-118 ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรขึ้นเมื่อ ร.ศ 112 ทรงจัดวาง ระเบียบ ราชการปกครองบ้านเมืองและรับราชการ ในหน้าที่สำคัญต่างๆซึ่งอำนวยประโยชน์สุขแก่ราษฎรนานัปการอนุสาวรีย์พระองค์ท่าจึงนับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของชาวจังหวัดอุดรธานี ตราบเท่าทุกวันนี้


ศาลหลักเมืองอุดรธานี
ศาลหลักเมืองจังหวัดอุดรธานีเป็นที่เคารพศักการะของชาวจังหวัดอุดรธานี 


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
อยู่ที่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
              ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ด้านขวาของทางเข้า อยู่ในบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน เป็นพิพิธภัณฑ์เป็นที่เป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย เป็น นิทรรศการถาวรซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดิน 

              ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ด้านซ้ายของทางเข้า เป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของ บ้านเชียงในอดีต ตลอดจนเครื่องใช้ที่แสดงถึงเทคโนโลยีในสมัยโบราณ นอกจากนั้นภายในบริเวณอาคารส่วนที่ 2  ยังมีห้องนิทรรศการ ห้องบรรยายฉายภาพยนตร์ ฉายภาพนิ่งและการให้บริการการศึกษาต่าง ๆ การเดินทางไปจากตังจังหวัดเพียง 55 กิโลเมตร   ตามเส้นทางหมายเลข 22 (อุดรธานี-สกลนคร) ตรงกิโลเมตรที่ 50 เลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2225  อีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น.

หนองประจักษ์ศิลปาคม
              อยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานี เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของตัวเมือง บริเวณตัวเกาะกลางน้ำไจัดทำสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดและทำสะพานเชื่อมระหว่างเกาะ มีน้ำพุ หอนาฬิกา และสวน เด็กเล่น

  
 

วัดบ้านตาด
              ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านตาด   เดินทางออกจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 2 (อุดร-ขอนแก่น)   ถึงบริเวณสี่แยกบ้านดงเค็งแล้วแยกขวาเข้าไปอีกประมาณ กิโลเมตร  ถึงบริเวณวัด สภาพโดยทั่วไปของวัดนี้มีลักษณะเป็นพื้นที่ป่าบนโคกเนินที่ล้อมรอบด้วยกำแพงคอนกรีต    มีประตูเข้าออกเป็นประตูใหญ่  อยู่บริเวณด้านหน้าของวัด การจะเข้าไปในวัดต้องขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสเสียก่อน ในบริเวณวัดมีสัตว์ป่าชุกชุมมาก ทั้งไก่ฟ้า ไก่ป่า นก กระรอก กระแต หมูป่า    วัดบ้านตาดเป็นที่พำนักของพระอาจารย์มหาบัว   ญาณสัมปันโน           พระอาจารย์วิปัสสนา สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภายในวัดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่  ต้องการไปปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ


สวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์
ตั้งอยู่ที่ซอยกมลวัฒนาถนนรอบอุดร-หนองสำโรง จากตัวเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 2 (อุดรธานี-หนองคาย) ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เลยแยกถนนเลี่ยงเมืองไปเล็กน้อย ทางซ้ายมือจะมีแยกเข้าหนองสำโรง และมีป้ายบอกทางเข้าสวนกล้วยไม้ทางด้านซ้ายมือ สวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์เป็นสวนกล้วยไม้ที่ผลิตกล้วยไม้กลิ่นหอมพันธุ์ใหม่ของไทย ซึ่งใช้เวลาในการค้นคว้าและผสมพันธุ์ถึง 10 ปีเศษ ชื่อพันธุ์ Udon Sunshine พันธุ์นางสาวอุดรซันไฌน์ ซึ่งมีการนำไปสกัดทำน้ำหอมในชื่อเดียวกัน ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. (042) 242475


วัดโพธิสมภรณ์
 ตั้งอยู่ที่ตำบลหมากแข้ง เป็นวัดที่สร้างในสมัย รัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาลที่ 5



วัดมัชฌิมาวาส
วัดมัชฌิมาวาส ตั้ง อยู่ที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง เดิมเคยเป็นวัดร้างมาก่อน ชาวบ้านิยมเรียกว่าวัดเดิมหรือวัดเก่า ในวิหารเล็กๆ ภายในวัด มีพระพุทธรูปหินสีขาวปางนาคปรกประดิษฐานอยู่  ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อนาค"   เป็นที่เคารพสักการะ ของชาวอุดรธานีมาก   ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม   ได้โปรดให้สร้างวัดขึ้นที่วัดร้างโนนหมากแข้ง และให้ชื่อว่า "วัดมัชฌิมาวาส"



ศาลเจ้าปู่-ย่า
          ศาลเจ้าปู่ย่า เทพเจ้าแห่งความเมตตา ได้รับกล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์  แผ่ความเมตตาแก่คนยากไร้   ผู้ใดมีทุกข์โศก   มักจะไปจุดธูปขอให้ความทุกข์ที่มีอยู่สลายไป   หรือไปบนบานศาลกล่าวขอให้การค้าเจริญรุ่งเรืองและมักจะได้บารมีจากเทพเจ้าปู่ย่า  ดลบรรดาลให้สมหวังในสิ่งที่ขอ   บริเวณโดยรอบมีศาลาชมวิวกลางน้ำ 2 หลัง   สร้างอย่างวิจิตรสวยงาม     อยู่ในเขตเทศบาลตามถนนนิตโยทางไปจังหวัดสกลนคร    ผ่านทางรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร

หมู่บ้านนาข่าและศูนย์หัตถกรรมบ้านเม่น
อยู่ในเขตอำเภอเมือง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 16 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2 (อุดรธานี-หนองคาย) ไป 16 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวามือเป็นทางลูกรังเข้าไปอีก 2 กิโลเมตร




อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
                 อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,430 ไร่ ในเขตบ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 2 เส้นอุดรธานี-หนองคาย ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 13 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2021 ไปทางอำเภอบ้านผือ ระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร แยกขวาประมาณ 500 เมตร และตรงไปตามเส้นทางหมายเลข 2348 อีกประมาณ 12 กิโลเมตร มีแยกขวาเป็นทางเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่ซึ่งแสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศซึ่งมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นหินทรายที่ถูกขัดเกลาจากขบวนการกัดกร่อนทางธรรมชาติทำให้เกิดเป็นโขดหินน้อยใหญ่รูปร่างต่าง ๆ กัน ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตผู้คนในอดีตที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ
พระพุทธบาทบัวบก ตั้งอยู่บริเวณทางแยกซ้ายมือก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2463-2477 คำว่า "บัวบก" เป็นชื่อของพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นตามป่า มีหัว และใบคล้ายใบบัว ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า ผักหนอก บัวบกนี้คงจะมีอยู่มากในบริเวณที่พบรอยพระพุทธบาท จึงเรียกรอยพระพุทธบาทนี้ว่า "พระพุทธบาทบัวบก" หรือคำว่าบัวบกอาจจะมาจากคำว่า บ่บก ซึ่งหมายถึง ไม่แห้งแล้ง รอยพระพุทธบาทมีลักษณะเป็นแอ่งลึกประมาณ 60 เซนติเมตร ลงไปในพื้นหินยาว 1.93 เมตร กว้าง 90 เซนติเมตร เดิมมีการก่อมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทไว้ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2465 พระอาจารย์ศรีทัตย์ สุวรรณมาโจ ได้รื้อมณฑปเก่าออกแล้วสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ และยังสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองวางทับรอยพระพุทธบาทเดิมไว้ ภายในพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตัวองค์เจดีย์เป็นทรงบัวเหลี่ยมคล้ายองค์พระธาตุพนม มีงานนมัสการพระพุทธบาทบัวบกในวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี
1.11  รูปเกี่ยวกับกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
รูปเกี่ยวกับกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


รำบวงสรวง



กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


พธีรำบวงสรวง


พธีรำบวงสรวง


พธีรำบวงสรวง


พธีรำบวงสรวง



กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม


กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม



กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม